วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตำนานโลก ปิรามิดแห่งกิซ่า

ตำนานโลก ปิรามิดแห่งกิซ่า


ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 ด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี

ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่ามหาปิรามิด

- ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 570,000 ตาราง768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว

- ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร

สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต

ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง

ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็นปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิด เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว

ปิรามิดไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน


แหล่งอ้างอิง http://variety.teenee.com/world/330.html

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ไขปริศนา "แอตแลนติส"


ไขปริศนา "แอตแลนติส" นครที่สาบสูญ


..........นักวิจัยสหรัฐเปิดเผยว่าได้ค้นพบ ?แอตแลนติส? เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าพิศวงมากว่าทศวรรษ แต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน หาใช่เมืองแห่งเพลโตไม่

..........โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตศักราช ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ ?แอตแลนติส? (Atlantis) จมหายลงไปในคราวนั้น เชื่อว่าจมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมตรใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria)

..........?พวกเราพบมันแล้ว? ซาร์แมสต์ ผู้นำคณะสำรวจที่ซอกแซกไปในทะเลกว่า 50 ไมล์ตามแถบชายฝั่งตอนใต้ของไซปรัสเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึกแสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย โดยเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนตีส อย่างไรก็ดีคงต้องมีการสำรวจต่อๆ ไปอีก

..........?พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูปแบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ ทำให้เชื่ออย่างแย้งไม่ได้ว่าแอนแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น? ซาร์แมสต์ เผยอย่างไรก็ดี ขณะที่ซาร์แมสต์ได้เปิดเผยข้อค้นพบต่อสาธารณชน ณ เมืองท่าลิมาสโซล (Limassol) เขายังได้นำภาพเคลื่อนไหวจำลอง ?เนิน? ที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยจินตนาการภาพย้อนหลังไปหลายศตวรรษ

..........ตามคำกล่าวอ้างของ ?เพลโต? (Plato) ปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ระบุว่า แอตแลนตีสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าไปมาก อยู่ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ส่วนทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงเหตุผลแห่งการหายไปของอาณาจักรแอตแลนตีสนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเกิดกลียุค ด้วยโรคภัยจากธรรมชาติคุกคาม หรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนตีสมีความละโมบและกระหายอำนาจเข้าครอบนำเทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจจะเป็นแค่เพียงภาพฝันของเพลโตก็เป็นได้

..........ซาร์แมสต์ เปิดเผยว่า เขาเดินทางไปไซปรัสตามร่องรอยในบทสนทนาของเพลโต ที่อ้างว่าแอตแลนตีสอยู่ตรงข้ามกับ พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) หรือ ?เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส? ซึ่งเชื่อกันว่านั่นก็คือ ?ช่องแคบยิบรอลตาร์? (Straits of Gibraltar) นั่นเอง จึงทำให้นักสำรวจหลายๆ คนมุ่งความสนใจไปที่มหาสมุทรแอตแลนติก ไอร์แลนด์ หรืออะซอเรส (Azores) ของโปรตุเกส

..........?ผู้คนที่พลาดสิ่งเหล่านี้ไป นั่นก็เพราะไม่ได้ทำการบ้านให้ถ่องแท้ ผู้ที่สงสัยใคร่รู้เรื่องนี้ต่างรู้ไม่จริง ถ้าต้องการที่จะเข้าใจปริศนาลึกลับแห่งแอตแลนติก คุณจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ ข้ออ้างอิงทางศาสนา วัฒนธรรมและร่องรอยของชาวสุเมเรียน (Sumerian)? ซาร์แมสต์เผย และยังไม่ทันที่ซาร์แมสต์จะกลับไปฝันหวานกับข้อค้นพบของเขา ?คริสเตียน ฮูบเชอร์? (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน จากศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลและบรรยากาศ ในฮัมบรูก ก็ออกมาแย้งผ่านหนังสือพิมพ์เยอรมนีว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 100,00 ปีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานชาวเนเธอร์แลนด์เคยเดินเรือไปสำรวจบริเวณที่ซาร์แมสต์ระบุว่าเป็นแอตแลนตีสมาก่อนแล้ว

..........ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามเกาะรอยคำกล่าวของเพลโตเช่นกัน โดยนักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้นแม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานาของเสปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล
โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนตีส อย่างไรก็ดี หลังจากการเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมออกไป ก็ยังไม่มีใครได้ลองดำลึกลงไปขุดพิสูจน์พื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใด




เเหล่งอ้างอิง http://artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=2049

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วงข้าวโพดล้ม หรือ ครอปเซอร์เคิล

วงข้าวโพดล้ม หรือ ครอปเซอร์เคิล (crop circle) ป็นคำที่ใช้อธิบายข้าวโพด โดยคำนี้รวมถึง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง วงข้าวโพดล้มนี้พบได้หลายแห่งทั่วโลกถึงรูปแบบพืชที่ล้มลง ซึ่งเริ่มต้นจาก 



คืน หนึ่งในปี 1972 ณ ประเทศอังกฤษ อาเทอร์ ชัตเติลวูด(Arthur Shuttlewood) กับ บริซ บอนด์(Bryce Bond) ซุ่มซ่อนตัวบริเวณเนินเขาสตาร์ฮิล ใกล้เวสมินเตอร์ เพื่อเฝ้าดูปรากฏการณ์แสงประหลาด ซึ่งเกิดขึ้นในแถบนั้นมานานเกือบทศวรรษ เชื่อกันว่ามันคือยูเอฟโอ คืนนั้นทั้งสองผิดหวังเมื่อไม่พบแสงประหลาด แต่ได้รับการชดเชยด้วยร่องรอยบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกัน นั่นคือ พืชที่ล้มเป็นวงกลม ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า Crop Circles

สี่ปีต่อมาในเดือนกันยายน 1976 เอดวิน เฟอร์(Edwin Fuhr) ชาวนาแห่งแลงเกนเบิร์ก(Langenburg) อ้างว่า เห็นยานรูปโดมสีเงินหลายลำ บินอยู่เหนือทุ่งนาหลังจากที่ยานเหล่านี้จากไปแล้ว เขาก็พบครอปเซอร์เคิลหลายแห่งในบริเวณนั้น นี่คือเรื่องราวแรกเริ่มของปรากฏการณ์วงกลมพืชบนท้องทุ่งของอังกฤษ ที่ผู้คนมากมายเชื่อว่าเป็นหนึ่งในปริศนาลึกลับของโลกอยู่ทุกวันนี้

ครอปเซอร์เคิล ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1678 ที่เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ อังกฤษ ไม่มีใครอธิบายได้ว่าใครหรืออะไรทำให้มันเกิดขึ้น แต่หลังจากการค้นพบของชัตเติลวูดกับบอนด์และเฟอร์แล้ว มันนำไปสู่ทฤษฎีแรกคือร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว ตามมาด้วยทฤษฎีอุกกาบาตและทฤษฎีพายุทอร์นาโดขนาดเล็ก ในทศวรรษที่ 1980 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลมากขึ้น โดยเฉพาะรอบๆเมืองวอร์มินสเตอร์(Warminster) ในช่วงต้นของทศวรรษนี้รูปทรงของมันก็ยังคงเหมือนเดิม คือเป็นวงกลมหยาบๆ แต่ในกลางทศวรรษรูปทรงของมันซับซ้อนขึ้น คือมีวงแหวนแตกออกไป และมันเริ่มดึงดูดใจคนอังกฤษมากขึ้น ในทศวรรษนี้เอง ด๊อกเตอร์ เทอร์เรนซ์ มีเดน(Terrence Meaden) ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์และนักอุตุนิยมวิทยาได้พยายามไขปริศนานี้ โดยทำการวิจัยครอปเซอร์เคิลมากกว่า 1,000 แห่ง มีเดนเสนอทฤษฎีว่า ครอปเซอร์เคิลเกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า Plasma Vortex ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบนราบ


ทฤษฎี นี้ได้รับการสนับสนุนจากผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นคือ ศาสตราจารยโอซึกิ (Ohtsuki) เขาใส่พลาสมา (plasma Fireballs) ลงในถาดแป้ง ผลปรากฏว่ามันทำให้เกิดวงแหวนสองชั้นรอบศูนย์กลาง ปี 1991 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลหลายร้อยแห่งในอังกฤษ มันยังแพร่ระบาดไปในเยอรมัน สหรัฐอเมริกา บราซิล โรมาเนีย ฮังการีและญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้นมันได้เปลี่ยนแปลงรูปทรงใหม่เป็น Pictrogram เสมือนการสื่อความหมายบางอย่างด้วยภาพ รูปแบบใหม่ของมันทำให้ทฤษฎีผู้มาจากต่างมิติที่พยายามสื่อสารกับมนุษย์เริ่ม ก่อตัวขึ้น ความซับซ้อนของรูปทรงครอปเซอร์เคิล ทำให้ทฤษฎีพลาสมาไม่สามารถอธิบายรูปทรงนี้ได้ ในขณะที่คำกล่าวอ้างเรื่องแสงไฟประหลาดเหนือท้องทุ่งยามดึก แล้วทำให้เกิดครอปเซอร์เคิลในรุ่งอรุณของทฤษฎียูเอฟโอ ก็ยังใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ แต่มันก็ยังเป็นทฤษฎีที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในปีเดียวกันนี้เอง ชายชาวอังกฤษสองคนได้ออกมาเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ว่า ครอปเซอร์เคิลเป็นเรื่องหลอกลวงมันเกิดจากฝีมือของมนุษย์ เดฟ คอร์ลีและโดฟ โบเวอร์ (Dave Chorley and Doug Bower) อ้างว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างมันขึ้นมารวมแล้วกว่า 1,000 แห่ง ตั้งแต่ปี 1978 โดยใช้ไม้กระดานขนาด 4 ฟุต และเชือกเป็นเครื่องมือ ในขณะเดียวกันก็มีนักหลอกลวงกลุ่มอื่นๆออกปฏิบัติการในยามค่ำคืนอย่างเดียว กับพวกเขาด้วย นิตรสารไทม์ฉบับวันที่ 23 กันยายน 1991 พูดถึงเรื่องนี้ว่า นี่คือการนำไปสู่จุดจบของเรื่องซึ่งเป็นหนึ่งในความลึกลับที่สุดของอังกฤษ และของโลกแล้ว อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ครอปเซอร์เคิลก็ไม่ได้หายไปพร้อมกับการเผยตัวของนัก หลอกลวงคู่นี้ แต่กลับพุ่งสูงขึ้นในปีต่อมาคือปี 1992 มันเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาพร้อมกับความสลับซับซ้อนของรูปทรงเรขาคณิต และขนาดอันมหึมาหลายร้อยฟุตในทุ่งบาร์เลย์ และ ทุ่งข้าวโพด พร้อมๆกับการแพร่ระบาดไปกว่า 10 ประเทศ และยังทำให้ตัวเลขนักวิจัยเพิ่มสูงขึ้น อีกด้านหนึ่งมันคือศิลปอันวิจิตรพิสดารบนท้องทุ่ง ซึ่งผลิตช่างภาพมืออาชีพมากมาย และเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับครอปเซอร์เคิลที่เฟื่องฟู อยู่ทุกวันนี้


จน ถึงปัจจุบัน มีครอปเซอร์เคิลเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่อังกฤษรวมแล้วประมาณ 10,000 แห่ง ส่วนใหญ่เกิดทางภาคใต้ และ 90 เปอร์เซนต์อยู่ในรัศมี 50 ไมล์จากสโตนเฮน(Stonehenge) ครอปเซอร์เคิลบางแห่ง สื่อความหมายเกี่ยวกับจักรวาล แกแล็คซี่ บางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับหายนะของโลกจากอาวุธนิวเคลียร์ และบางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับผลร้ายของการทำลายสภาพแวดล้อม ในวันที่ 17 สิงหาคม 2001 นักวิจัยครอปเซอร์เคิลต้องตะลึงกับครอปเซอร์เคิลรูปแบบใหม่สองแห่งในทุ่ง ข้าวโพดใกล้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ Chilbolton ที่ Hampshire อังกฤษ มันเป็นภาพกราฟิกของสัญญาณวิทยุที่ส่งจากโลกไปยังกลุ่มดาว M13 อีกแห่งหนึ่งเป็นภาพหน้าคนที่คล้ายภูเขาหน้าคนบนดาวอังคาร ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครบรอบปี ได้เกิดครอปเซอร์เคิลแบบนี้ขึ้นอีก มันคือครอปเซอร์เคิลที่แสดงภาพของ E.T. ห่างจากที่ตั้งกล้องโทรทรรศน์ Chilbolton ราว 9 ไมล์ในวันที่ 15 สิงหาคม 2002 สำหรับนักวิจัยแล้ว ความพยายามของพวกเขาไม่ไร้ผล นักวิจัยได้พบเบาะแสบางอย่างที่อาจคลี่คลายปริศนานี้ได้ นั่นคือการพบความผิดปกติในลำต้นของพืชในครอปเซอร์เคิล ที่พวกเขาอ้างว่าสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างของจริงกับที่มนุษย์สร้าง ขึ้นได้ ครอปเซอร์เคิลของจริงนั้นลำต้นของพืชที่ล้มซึ่งอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 1 นิ้ว มีลักษณะโค้งงอไม่แตกหัก นอกจากนั้นโครงสร้างของเซลล์(cell Pit) ยังเปลี่ยนแปลง คือเซลล์ขยายตัวเหมือนได้รับความร้อน ด๊อกเตอร์ วิลเลียม เลเวนกูด (William C. Levengood) เชื่อว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดครอปเซอร์เคิล มันต้องใช้พลังงานที่เร็วและหนาแน่นจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ นักวิจัยเชื่อว่าพลังงานที่ว่านั้นน่าจะเป็นไมโครเวฟ ทฤษฎีนี้เรียกว่า Microwave Transient Heating นักวิจัยยังอ้างการศึกษาผลกระทบของพืชในครอปเซอร์เคิล เปรียบเทียบกับพืชที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งพบว่า เมล็ดพืชในครอปเซอร์เคิลมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วกว่าเมล็ดพืชบริเวณใกล้ เคียงถึง 45 เปอร์เซ็นต์

มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เป็นของด๊อกเตอร์ คอลลิน แอนดริวส์ (Colin Andrews) นักวิทยาศาสตร์อังกฤษซึ่งศึกษาครอปเซอร์เคิลมาเป็นเวลา 17 ปี ในปี 2000 แอนดริวเปิดเผยผลวิจัยซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ว่า ราวๆ ร้อยละ 80 ของครอปเซอร์เคิลเป็นฝีมือของมนุษย์ ครอปเซอร์เคิลเหล่านี้ จะมีรูปทรงซับซ้อนและวิจิตรพิสดารส่วนที่เหลือซึ่งมีรูปทรงง่ายๆนั้น เขาเชื่อว่ามันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้น ซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าและกระแสไฟนี้เองเป็นตัวการทำให้พืชล้มลง งานวิจัยที่พบว่าครอปเซอร์เคิลบางแห่งทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นไมโครโฟน หรือเครื่องบันทึกเสียงถูกรบกวนจนใช้การไม่ได้ รวมทั้งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะรู้สึกปวดศีรษะหรือมีอาการคลื่นไส้ สนับสนุนทฤษฎีนี้ นักวิจัยบางคนเชื่อว่ามันเกิดจากพลังงานที่ตกค้าง

แต่ในปี 2000 ชายชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยตนเองว่าเป็นผู้สร้างครอปเซอร์เคิล ที่วิจิตรพิสดารหลายสิบแห่งในภาคใต้ของอังกฤษมากว่า 11 ปี พวกเขาเรียกตนเองว่า Circlemakers โดยใช้คอมพิวเตอร์ร่างรูปแบบก่อน พวกเขาได้รับเชิญจากสื่อมวลชนให้สาธิตการสร้างครอปเซอร์เคิลที่มีความซับ ซ้อนหลายครั้ง ซึ่งพวกเขาทำได้จริงๆ และก็ไม่ได้ใช้ไมโครเวฟ ปัจจุบันพวกเขามีเว็บไซต์ที่แสดงผลงานและเสนอข่าวสารเกี่ยวกับครอปเซอร์เคิล ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีทฤษฎีเดียวเท่านั้นที่จะอธิบาย ครอปเซอร์เคิลได้ นั่นคือ ทฤษฎีมนุษย์เป็นผู้สร้างแต่อย่างไรก็ตาม นักวิจัยครอปเซอร์เคิล ก็ยังเชื่อเหมือนกับแอนดริวว่ามันไม่ทั้งหมดที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของนักวิจัยหลายกลุ่มจึงยังดำเนินอยู่ต่อไป Circlemaker คนหนึ่งพูดถึงเรื่องนี้ว่า ไม่มีใครอยากเชื่อคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรอก เพราะผู้คนต้องการเชื่อสิ่งที่เป็นความลึกลับมากกว่า “ สาธารณชนไม่ต้องการคำอธิบาย “เขากล่าว

เเหล่งอ้างอิง  https://sites.google.com/site/rxypaedphankea/khrxph-se-xrkheil-crop-c

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กะโหลกแก้ว

 กะโหลกแก้ว



ปริศนาจากชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า 
ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ 
และเทคโนโลยีในอดีตไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง! ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบข้อมูลในนั้น
จะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อ ระหว่างคนอดีตสู่ คนยุคปัจจุบัน(ไปดูอินเดียน่าก็ได้มีเหมือนกัน)



ปริศนา กะโหลกแก้ว

ว่ากันว่ามีกะโหลกแก้วลึกลับ อันทรงพลังจากอารยธรรมมายา แห่งอดีตอยู่ 13 หัว
หากใครได้ครอบครองมันทั้งหมด อาจจะสามารถเป็นผู้ครองโลก ได้ด้วยอำนาจอันมหัศจรรย์!!! 

ตำนานว่าด้วยปริศนาแห่งกะโหลกแก้ว เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมานานแล้ว 
และเมื่อพิพิธภัณฑ์มนุษยชาติ แห่งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษได้มาหัวหนึ่งใน ปีพ.ศ. 2441 
หรือเมื่อ 110 ปีก่อน ก็ยิ่งทำให้คำเล่าลือโด่งดังขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใครได้จ้องมอง
เข้าไปในดวงตาของกะโหลกแก้ว ก็มักอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงพลังอำนาจบางอย่าง 
พลังที่พนักงานของพิพิธภัณฑ์ ไม่ยอมเข้าไปในห้องที่จัดแสดงกะโหลกนี้ในยามค่ำคืน 
หากไม่เอาผ้าดำปิดดวงตากลวงคู่นั้นไว้เสียก่อน 

ไม่มีใครรู้แน่ว่ากะโหลกแก้วปริศนา ที่มีขนาดเท่าๆ กับกะโหลกคนจริงๆ นี้มาจากไหน
พิพิธภัณฑ์ซื้อมันมาจาก ร้านขายเครื่องเพชรทิฟฟานี่แห่งนิวยอร์ก ซึ่งไม่ได้ระบุถึงที่มาอันชัดเจน
แต่เป็นที่เข้าใจว่ากะโหลกแก้วนี้ น่าจะเป็นโบราณวัตถุจากอารยธรรมแอซเท็ค 
ซึ่งนายทหารบางคน ได้มันมาเมื่อครั้งไปร่วมรบที่เม็กซิโก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 

ในขณะที่ปริศนาของกะโหลกแก้ว แห่งพิพิธภัณฑ์นี้ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ 
ก็มีการค้นพบกะโหลกแก้วอีกหัวหนึ่งใน พ.ศ. 2467 เมื่อแอนนา มิทเชลล์-เฮดจ์ส บุตรีบุญธรรม
ของเฟ็ดเดอริค อัล-เบิร์ท มิทเชลล์-เฮดจ์ส นักผจญภัยและนักสำรวจชื่อดังได้พบมันเข้าโดยบังเอิญ 

ตอนนั้นเฟ็ดเดอริคและทีมงาน กำลังสำรวจเมืองโบราณ ลูบานทูม ในบริติชฮอนดูรัส
แล้วจู่ๆ แอนนาก็พบกะโหลกแก้วเข้าในวันเกิดครบรอบปีที่ 17 ของเธอ ทำให้คนขี้สงสัยบางราย
อดค่อนแคะไม่ได้ว่าที่จริง คุณพ่อผู้แสนดีอาจจะพบมาก่อนแล้ว แต่อยากให้ของขวัญวันเกิด
ที่สุดเซอร์ไพรส์แก่ลูกสาว ก็เลยแอบเอาไปวางไว้ให้แอนนาได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบ 

แต่ไม่ว่าการพบครั้งแรกจะเป็นอย่างไรก็ตาม กะโหลกแก้วที่เรียกขานกันต่อมาว่า
กะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์สนี้ ก็เป็นหนึ่งในกะโหลกแก้วที่โด่งดังที่สุดในโลก ด้วยความเชื่อที่ว่า
มันเป็นมรดกตกทอดมาจากอดีตอันไกลโพ้น จากอารยธรรมขั้นสูงที่สูญสลายไปแล้ว
และหากมองดวงตาแก้วปริซึมนี้ ให้ดีจะเห็นภาพของอนาคตปรากฏขึ้น 

กะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์สนี้ทำจากแก้วบริสุทธิ์ ผ่านการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ไม่มีที่ติ 
สันนิษฐานว่าผู้ที่สร้างขึ้นมา ต้องใช้เวลากว่า 150 ปี จากรุ่นสู่รุ่น กว่าจะเกิดเป็นกะโหลกปริศนา
ที่มีการประมาณการอายุกันคร่าวๆ ว่าน่าจะเก่าแก่กว่า 3,600 ปี เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา 
ช่วยรักษาเยียวยาความเจ็บป่วย แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นเครื่องมือ กำหนดความตายของผู้ที่
กระทำสิ่งไม่เหมาะสม ทำให้กะโหลกนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กะโหลกมรณะ 

ปริศนาจากชาวมายัน หรือกุญแจที่จะไขปริศนา ทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ
5 ใน 13 ชิ้น ที่ถูกค้นพบ ทั้งหมดถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า
แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย ที่บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
และเทคโนโลยีในอดีต ที่ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะถูกสร้างขึ้นมาเองได้
หากเป็นความจริงอันชวนตกตะลึง! ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้ว ที่ค้นพบข้อมูลในนั้น
จะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนจากอดีต สู่คนในยุคปัจจุบัน





เเหล่งอ้างอิง  http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=44550.0

พระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์

พระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์



คำตอบกับการเปิดทางสู่โลกพระเจ้า การค้นคว้าทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ ปริศนาศิลาจารึกที่อยู่ข้างในบพระบัญญัติ คือ เครื่องมือติดต่อถึงพระเจ้าโดยตรง 
คำสอนศาสนา บทองคำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระศาสดาตระหนักรู้ อาจรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเปิดเผย แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้


Ark of the Covenant 

หรือหีบพันธะสัญญานั้นเองครับ ที่จริงยังไม่มีใครเจอมันหรอก แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับมันนั้นช่างน่าพิศวงเหลือเกิน

ลักษณะของหีบพันธะสัญญาคร่าวๆ ตามตำนาน เล่าว่า 

เป็นหีบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำด้วยไม้ชิดติม (Shittim) ยาว 2.5 คิวบิท กว้าง และสูงเท่ากัน คือ 1.5 คิวบิท
(เทียบหน่วยคิวบิทของอียิปต์ ซึ่ง 1 คิวบิทเท่ากับ 525 ซ.ม. หีบก็จะยาว 1.3 เมตร กว้างและสูง 76 ซ.ม. )
บุด้านนอกและด้านในด้วยแผ่นทองคำ โดยรอบหีบด้านบนยกเป็นขอบสูงขึ้นเล็กน้อย ที่มุมสี่ด้านมีห่วงทองคำสำหรับสอดไม้คาน
เพื่อแบกหามเวลาเดินทาง และไม้คานทำจากไม้ชนิดเดียวกันหุ้มด้วยแผ่นทอง(มีคำสั่งห้ามถอดไม้คานออกด้วย)
ส่วนฝาหีบ เรียกว่าMercy Seat หรือ “การุณอาสน์” มีขนาดรับกับตัวหีบ และบุแผ่นทองเช่นเดียวกัน ด้านบนมีเทวดาสององค์สยายปีก
หันหน้าเข้าหากัน ปีกทั้งสองโอบคล้ายซุ้มโค้งเหนือหีบ

มีเรื่องเล่ากันว่า หีบพันธะสัญญาเป็นหีบที่สร้างขึ้นตามพระบัญชาของพระเจ้า(??) เพื่อเป็นที่บรรจุแผ่นหินจารึกบัญญัติ 10ประการของพระองค์ ที่ประทานแก่ 
โมเสส ในระหว่างที่เขาพาพวกฮีบรูเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทราย อันกันดาร โดยชนชาวฮีบรูจะแบกหีบแห่งพันธสัญญาตลอดการเดินทางในพระคัมภีร์ไบเบิล
เล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์ของหีบ ที่มีพลังมากมายมหาศาลถึงขั้นสามารถทำลายล้างผู้บังอาจเข้าไปแตะต้อง และถูกพระเพลิงเผาวอดตาย

แน่นอนหลายคนที่ได้รู้เรื่องราวหีบพันธะสัญญานี้ได้บอกว่ามันน่าเหลือเชื่อและหากเป็นเรื่องจริงละก็มันน่าจะเป็นวิทยาการอะไรสักอย่างที่ไม่มีในยุคนั้น 
ดังนั้นจึงมีข้อสันนิฐานตามมาว่า หีบพันธะสัญญาน่าจะ ขวดแก้วไลเดน (Leyden Jar) ซึ่ง ปีเตอร์ แวน มุสเซนโบรค ได้คิดค้นขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1745 
(เป็น อุปกรณ์เก็บสะสมประจุไฟฟ้า แบบง่าย) ซึ่งอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวกับไฟฟ้าทั้งสิ้น สมัยก่อนนั้นมีการใช้ไฟฟ้าได้อย่างไรกัน?? 

และจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพบหีบพันธะสัญญาที่แท้จริง ทำให้ไม่สามารถรู้ว่าหีบพันธะสัญญาคืออุปกรณ์อะไรกันแน่


เเหล่งอ้างอิง  http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=44550.0

สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส

 สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส
บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบล็อกเนสในสก็อต แลนด์ เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับ 
สัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 - 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ 
แล้วบางอย่างก็เป็นจริง 

มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคน 
ต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง

เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่ง ล็อคเนส



  นับจาก ค.ศ.565 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกเรื่องเกี่ยวกับ “สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์” ในทะเลสาบล็อคเนส สกอตแลนด์ เป็นครั้งแรก 
จนถึงวันนี้ก็ปาเข้าไป 1,443 ปีแล้ว ที่เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาไม่มีใครรู้แน่ว่า เจ้าสัตว์ที่ถูกขนานนามว่า “เนสซี” นี้มีตัวตนจริง หรือไม่ 
แม้จะมีรายงานว่า มี คนพบเห็นมากกว่า 4,000 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุป 

การไล่ล่าหาเนสซีมีมาอย่างต่อเนื่อง โดย เฉพาะอย่างยิ่ง ในปีที่แล้ว ซึ่งเกิดการตามล่าสัตว์ ที่ว่ากันว่า น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์หลงยุคนี้กันยกใหญ่ 
เมื่อบริษัท วิลเลียม ฮิลล์ ผู้ประกอบการ รับพนันที่ถูกกฎหมายของอังกฤษได้ออกมาประกาศ ว่า 

หากใครสามารถ พิสูจน์ถึงการมีอยู่ของเนสซีตัวเป็นๆ แล้วล่ะก็ เอาไปเลย 1 ล้านปอนด์ หรือคิดเป็น เงินไทยก็ 70 ล้านบาทเหนาะๆ

งานนี้ วิลเลียม ฮิลล์ตั้งความหวังว่าเงินรางวัลล่อใจนี้จะช่วยคลาย “ปมปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัย” แต่เอาเข้าจริงๆ แม้จะมีการตามล่ากันแบบโกลาหล 
ก็ยังไม่มีใครเข้า ใกล้รางวัลใหญ่ที่ว่ายกเว้นหนุ่มหน้ามลคนอังกฤษนามกอร์ดอน โฮล์มส์ พนักงานห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์จากยอร์กเชียร์ 
ที่สามารถถ่ายวีดิโอภาพที่ว่ากันว่า เป็นภาพเนสซีที่ชัดที่สุดในประวัติศาสตร์ สร้างความฮือฮา อย่างน่าตื่นเต้น

http://www.youtube.com/watch?v=HtPlz14qFOA   

กระทาชายนายโฮล์มส์ที่ไม่ได้เป็นญาติอะไรกับนักสืบนามกระเดื่องในนิยายชุด เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ให้การว่า ตอนที่กำลังนั่งเอ้เต้ชมวิวทิวทัศน์อยู่เหนือทะเลสาบล็อคเนส
ในวันที่ 28 พฤษภาคมปีที่แล้ว จู่ๆ ก็เห็น “อะไรบางอย่าง” กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนผิวน้ำ

เห็นอย่างนั้นพี่แกก็ไวทายาด รีบกระโจนไปคว้า กล้องวีดิโอมาถ่ายภาพได้นาน 2 นาทีครึ่ง 

เป็น 2 นาทีครึ่ง ที่ทำเอาวงการสัตว์ประหลาดของโลกต้องหวั่นไหว เพราะเป็นภาพที่เห็น ได้ชัดเจนถึงการเคลื่อนที่ของสัตว์ชนิดหนึ่ง สีดำขนาดใหญ่ คาดว่ายาวราวๆ 15 เมตร 
แหวกน้ำด้วยความเร็วประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนผืนน้ำล็อคเนสอย่างชัดเจน และบางส่วนของภาพมองเห็นครีบด้วย

เอเดรียน ไชน์ นักชีววิทยาสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลุ่มหลงที่ติดตามเรื่องราวของเนสซีบอกว่า ภาพวีดิโอฝีมือของโฮล์มส์นั้น เป็นภาพที่ยากจะทำปลอมขึ้น 
เพราะไม่ได้ถ่ายเฉพาะ ตัวสัตว์ ประหลาดเท่านั้น แต่ยังถ่ายเลยไปถึงฉากหลังที่เป็นภูเขารอบทะเลสาบด้วย ทำให้สามารถ เปรียบเทียบขนาดและความเร็วของสิ่งที่เห็นได้ถนัดชัดเจน

ส่วนตัวนายโฮล์มส์เองที่ยังตื่นเต้นไม่หายก็บอกว่า ทีแรกก็นึกอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นคลื่น หรือเปล่า แต่เมื่อมองแล้วก็เห็นการเคลื่อนไหว ที่ไปคนละทิศกับระลอกคลื่น 
แถมยังเห็นหลัง สีดำชัดเจน และตอนที่เห็นก็นึกว่าสัตว์ประหลาดนี้น่าจะยาวสัก 4-6 ฟุต แต่พอมามองอีกทีก็ น่าจะใหญ่กว่านั้นมาก

งานนี้สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษนำภาพเคลื่อนไหวของโฮล์มส์ไปออกอากาศ และได้รับเสียง ครางฮือจากผู้ชมว่าชัดเจนแจ่มแจ๋ว แต่ถึงกระนั้น นักวิชาการบางคนก็ยังไม่ค่อยอยากเชื่อ อะไรง่ายๆ 
เพราะฉะนั้นภาพที่ถ่ายได้ก็จะถูกนำไปวิเคราะห์อีกหลายยก เพื่อให้แน่ใจ ว่าไม่ใช่นาก หรือแมวน้ำมาล้อเล่นกับกล้อง

อย่างไรก็ตาม หากจะถามว่าเนสซีมีตัวตนจริงหรือไม่ ก็ไม่มีใครตอบได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง และในทางกลับกัน ถ้าจะบอกว่าไม่มีจริง ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะมีคนเห็นเยอะเหลือเกิน
แต่ถ้าจะกล่าวถึงความชัดเจนที่สุดจากทางการ ต้องฟันธงลงไปว่า เนสซีมีตัวจริงแหง


รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเพิ่งจะเปิดเผยเอกสารที่เคยเป็นเอกสารลับเกี่ยวกับเนสซีไป เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2549 หรือเมื่อ 2 ปีก่อนนี้เองว่า รัฐบาลยอมรับในการมีอยู่ของเนสซี!!
การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งข้อความในเอกสารที่ (เคย) ลับมากนี้ระบุว่า 

รัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของนางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ เชื่อเรื่องการมีอยู่ของสัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนส และเชื่อไม่เชื่อเปล่า ยังพยายาม หาทางปกป้องมันอีกต่างหาก
เพราะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลเกิดกังวลว่า การที่มี ผู้พยายาม ค้นหา ตามล่าแทบทุกตารางนิ้วของทะเลสาบ อาจจะทำให้เจ้าสัตว์ หลงยุคนี้ได้รับอันตราย รัฐบาลจึงได้ทุ่มเททั้งเงิน
และเวลาในการวิจัยเพื่อหาทางปกป้องเนสซี สุดท้ายก็ตกลงกันได้ว่า ไม่ต้องไปทำอะไรมันหรอก เพราะสัตว์ประหลาดนี้ถูกคุ้มครองอยู่แล้ว ตามกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าและชนบท ค.ศ.1981
ซึ่งคุ้มครองทั้งสัตว์ที่รู้จักและไม่รู้จัก อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปออกกฎหมายใหม่ให้เมื่อย


เเหล่งอ้างอิง http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=44550.0

ภาพลายเส้นนาซคา


ภาพลายเส้นนาซคา



ลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพ เหล่านี้ คือข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง 
เป็ดและนกกางปีก บนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด 

บ้างเชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบินหรือมันอาจเป็นส่วน 
หนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น

Nazca Lines ลายเส้นของพระเจ้า มนุษย์ต่างดาว หรือคนเดินดิน


สิ่งหนึ่งที่เรามักทำกันเวลาไปนั่งเล่นริมชายทะเลคือเอาไม้วาดรูปเรื่อยเปื่อยไปบนผืนทราย  เมื่อน้ำขึ้นจนท่วมรูปก็จะพัดพาเอาทรายกลับลงทะเลไปกลาย
เป็นชายหาดอันเกลี้ยงเกลาอีกครั้ง

กลางผืนทะเลทรายใกล้ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในประเทศเปรู  จะพบรูปภาพบนผืนทรายที่เหมือนใครเอาไม้ไปขีดเขียนไว้เป็นจำนวนหลายร้อยรูป  
มันคงไม่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ ถ้าแต่ละรูปไม่ได้มีขนาดใหญ่โตถึง 200 เมตร และรูปทั้งหมดครอบคลุมเนื้อที่
กว่า 500 ตารางกิโลเมตร  ท้าทายแดด ลม ฝน เป็นเวลากว่าสองพันปี

ภาพลายเส้นง่าย ๆ เหล่านี้มีตั้งแต่รูปคน  รูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น ลิง นก แมงมุม ปลาวาฬ กิ้งก่า รูปต้นไม้ จนถึงรูปทรงทางเรขาคณิต เป็นจำนวนหลายร้อยรูป




  จากการศึกษาทางโบราณคดี  พบว่ารูปเหล่านี้สร้างขึ้นในช่วง 200 ปีก่อนคริสตศักราช  จนถึงประมาณปี ค.ศ. 700  ภาพวาดเหล่านี้ใครเป็นผู้วาด 
วาดด้วยจุดประสงค์อันใด  

  และจากขนาดและความยาวของภาพลายเส้นเหล่านี้  คงมิได้สร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์บนโลกดูเป็นแน่  แต่ค่อนข้างชัดเจนว่าภาพเหล่านี้จงใจสร้างขึ้น
เพื่อให้มองจากท้องฟ้า  หรือนี่คือสัญญาณแสดงว่ามนุษย์เราเคยติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวมากว่าสองพันปีแล้ว 




หรือว่ามันถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาถวายแด่เทพองค์ใดบนท้องฟ้าสรวงสวรรค์ หรือว่ามนุษย์บนโลกค้นพบวิธีการบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อกว่าสองพันปีมาแล้ว
หรือว่าพระเจ้าจะทรงเป็นผู้สลักร่องรอยเหล่านี้ไว้บนผืนโลกกันแน่ 


คำถามเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาท้าทายมนุษยชาติในยุคปัจจุบัน  ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานการบันทึกทางประวัติศาสตร์  เราอาจไม่มีวันทราบคำตอบที่แท้จริงได้เลย

เทคนิคในการสร้างภาพลายเส้นเหล่านี้เป็นวิธีง่าย ๆ แต่ทำยาก  นั่นคือการสกัดหินสีเข้มกว่าที่อยู่ที่ผิวออกให้เห็นเนื้อหินที่สีอ่อนกว่าด้านล่างให้ปรากฏออกมา 
และมีความลึกจากพื้นผิวเพียงแค่ 10-30 เซนติเมตรเท่านั้น  จากการศึกษาค้นคว้า ไม่พบร่อยรอยของเทคโนโลยีใด ๆ ในการก่อสร้าง  
จึงพอจะสรุปได้ว่าทั้งหมดเป็นแรงงานจากฝีมือมนุษย์เท่านั้น 



รูปมนุษย์ (หรือเปล่า) หัวกลมตาโต ยกมือขวาขึ้นโบกมือทักทายรูปนี้ ถูกขนานนามว่า “มนุษย์อวกาศ”  ทำให้ใครต่อใครเชื่อว่าลายเส้นแห่งนาซคาแห่งนี้
เป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาวจากนอกโลก บางคนจินตนาการไปไกลถึงว่าเส้นบางเส้นอาจเป็นร่องรอยการขึ้นลงของยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว  
แต่ทฤษฎีนี้ก็ถูกปฏิเสธมาตลอดเช่นกัน



สาเหตุที่ภาพลายเส้นเหล่านี้อยู่คงทนมาสองพันปี เป็นเพราะสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ไร้ฝน ไร้ลม  เราคงได้แต่หวังว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปคงไม่กระทบ
หรือกระทบช้าที่สุดต่อมรดกโลกที่ซุกซ่อนตัวจากความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ณ ที่แห่งนี้


เเหล่งอ้างอิง  http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=44550.0

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์


โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ ( Moai Easter Island ) รูปปั้นลี้ลับมาได้ยังไง

โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ ( Moai Easter Island )


โมอายแห่ง ราโน ราราคู
เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยได้ยินเรื่องราวของเกาะอีสเตอร์กัน และเชื่อว่าอีกไม่น้อยเหมือนกันที่กำลังสงสัยอยู่ ว่าเจ้าเกาะชื่อประหลาดๆนี้มันคืออะไร วันนี้แอนจะนำเรื่องของเกาะอีสเตอร์มาฝาก โดยเฉพาะเจ้ารูปสลักหน้าใหญ่ ที่เรียงรายกันบนชายหาดของเกาะนี้ เรารู้จักรูปสลักนี้กันในนามของ " โมอาย "
 

แผนที่บนเกาะอีสเตอร์
เกาะอีสเตอร์ อยู่ห่างจากแหล่งชุมชนของตาฮิติและชิลีไปประมาณ 2,000 ไมล์ ดูในแผนที่โลกก็คงจะเห็นว่าอีสเตอร์เป็นเกาะเล็กๆและโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเกาะนี้แบบที่ว่าเอ่ยถึงเกาะอีสเตอร์เป็นต้องนึกถึงเจ้านี่ ก็คือแท่งหินขนาดยักษ์แกะสลักเป็นรูปหน้าคน ที่เรารู้จักกันในนามของโมอาย เมื่อก่อนเกาะนี้ไม่ได้ชื่ออีสเตอร์หรอก มันมีชื่อพื้นเมืองว่า " Te Pito O Te Henua " ซึ่งความหมายคือ " Navel of The World " หรือ สะดือของโลก จนกระทั่งเรือของชาวตะวันตกได้มาขึ้นฝั่งที่นี่เมื่อปี 1722 อันเป็นวันอีสเตอร์พอดี เกาะนี้เลยได้ตามวันด้วย
โมอาย (Moai) คือ รูปปั้นหินซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์และส่วนศีรษะมีขนาดใหญ่เด่นชัด โมอายถูกพบมากกว่า 600 ตัว กระจายอยู่ทั่วเกาะอีสเตอร์ อุทยานแห่งชาติลาปานุย ประเทศชิลี โมอายเกือบทั้งหมดที่พบนั้นถูกแกะสลักมาจากหินก้อนเดียว แต่ก็มีบางตัวซึ่งมี Pukau ลักษณะคล้ายหมวกเป็นชิ้นต่างหากอยู่บนศีรษะ โมอายเกือบทั้งหมดถูกแกะสลักมาจากเหมืองหินที่ราโน ราราคู (Rano Raraku) ซึ่งเป็นที่ที่พบโมอายอยู่กว่า 400 ตัว อยู่ในกระบวนการแกะสลักซึ่งใกล้เสร็จสมบูรณ์
จากการค้นพบรูปปั้นที่ยังแกะสลักอยู่ครึ่งๆกลางๆนั้น ทำให้มีการสันนิษฐานว่าเหมืองหินได้ถูกทิ้งร้างไปอย่างกระทันหัน นอกจากนั้นในการค้นพบโมอายเกือบทั้งหมดอยู่ในสภาพล้มนอน ซึ่งเชื่อว่าชาวพื้นเมืองบนเกาะเป็นผู้ทำให้มันล้ม
ลักษณะที่เด่นชัดของโมอาย คือส่วนหัว แต่ก็มีโมอายหลายตัวซึ่งมีส่วนหัวไหล่, แขน และลำตัว ซึ่งเป็นโมอายที่พบหลังจากถูกฝังมานานนับปี ความหมายและวัตถุประสงค์ของการสร้างโมอายนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัดและมีการสันนิษฐานกันไปต่างๆนานา ข้อสันนิษฐานที่แพร่หลายมากที่สุดข้อหนึ่ง คือรูปปั้นโมอายถูกแกะสลักโดยพวกโพลิเนเชียน (Polynesian) ซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะนี้เมื่อกว่า 1,000 ปีมาแล้ว ข้อสันนิษฐานนี้เชื่อว่าพวกโพลิเนเชียนอาจสร้างโมอายขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ หรืออาจจะเป็นผู้ซึ่งมีความสำคัญ ณ สมัยนั้นหรืออาจจะเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะของครอบครัว
เห็นได้ชัดว่าการสร้างโมอาย (ขนาดทั่วไปสูงประมาณ 3.5 เมตร หนัก 20 ตัน) นั้นต้องลงทุนลงแรงและใช้เวลาเป็นอย่างมาก หลังจากสร้างเสร็จแล้วยังต้องเคลื่อนย้ายรูปปั้นไปยังตำแหน่งที่ต้องการ การขนย้ายโมอายซึ่งหนักและใหญ่นั้นทำอย่างไรก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดจนปัจจุบัน นักวิชาการหลายคนถึงกับลงมือขุดค้นเข้าไปในตำนานของชาวเกาะ เพื่อจะหาที่ไปที่มาของโมอายแต่ก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องราวมากนัก พอถามชาวเกาะที่มีอายุ และมีความทรงจำเกี่ยวกับความเป็นมาของเกาะ ก็ได้รับคำตอบอย่างเป็นที่น่าพอใจว่า "มันเดินกันลงมาเอง" !? รูปสลักใหญ่โตขนาดนี้ ใครล่ะจะเชื่อว่าชาวเกาะโบราณจะใช้แรงงานของพวกเขาขนย้าย ด้วยการลากลงมาเอง อย่าว่าแต่ลากเลยอ่ะ แค่วิธีแกะสลักเนี่ยก็ลำบากมากแล้ว ขนาดแอนเองยังนึกไม่ออกเลยว่า ชาวโพลิเนเชี่ยนเหล่านี้เค้าเอาอะไรมาสลักหินภูเขาไฟก้อนใหญ่โตขนาดนี้ให้ออกมาเป็นศิลปกรรมหน้าตาประหลาดแบบนี้ได้ ลิ่มหรือ หรือว่าขวานหิน ? 
 

โมอายผู้พิทักษ์หมู่เกาะ
ในตำนานของเกาะนั้นกล่าวถึงหัวหน้าเผ่าซึ่งเสาะหาที่ตั้งบ้านใหม่ และเขาได้เลือกหมู่เกาะอีสเตอร์ หลังจากที่หัวหน้าเผ่าตายไปเกาะก็ได้ถูกแบ่งให้เหล่าลูกชายของเขาเพื่อให้เป็นหัวหน้าเผ่าใหม่ เมื่อหัวหน้าเผ่าคนใดตายไปก็มีการนำโมอายไปตั้งไว้ ณ สุสาน ชาวเกาะทั้งหลายเชื่อว่ารูปปั้นโมอายจะรักษาจิตวิญญาณของหัวหน้าเผ่าเหล่านั้นไว้ เพื่อให้นำสิ่งดีๆมาสู่เกาะ เช่น ฝนตก พืชพรรณสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามตำนานนี้อาจมีการบิดเบือนไปจากความจริงเนื่องจากได้มีการเล่าสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ไขปริศนาโมอายที่แท้จริงจาก UBC ช่อง History
สรุปออกมาแล้วว่า โมอายที่พบบนเกาะที่มีอยู่กว่า 900 ตัว เป็นฝีมือการทำของมนุษย์ (ชาวโพลิเนเชียน) เอง จากการที่บนเกาะนั้นมีเหมืองหินขนาดใหญ่อยู่แล้ว การแกะสลักนั้น พวกเขาได้ใช้หินจากภูเขาไฟซึ่งมีความแข็ง คมกว่าหินภายในเหมืองหินที่มีความแข็งแรงน้อยกว่าหินที่ใช้แกะสลักนั่นเอง
ทำไมอารยธรรมของพวกเขาถึงสาปสูญไป ??
พบว่าพวกเขาได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติบนเกาะจนหมดสิ้น จากเดิมเป็นเกาะที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ที่ให้ร่มเงายามแดดร้อน ทำให้พวกเขาต้องหลบแดดเข้าไปอยู่ภายในถ้ำ และนักประวัติศาสตร์ยังพบว่า เกิดสงครามแย่งอำนาจในการปกครองเกาะกัน รวมทั้งมีสิทธิขาดในการใช้ทรัพยากร แต่พวกเขาก็มีวิธีแก้ไขความขัดแย้งนี้โดยให้มีการจัดการแข่งขัน 'มนุษย์นกขึ้น' (Birdman) โดยตัวแทนของแต่ละเผ่าจะต้องวิ่งลงหน้าผาที่สูงชัน 1000 ฟุต เพื่อว่ายน้ำฝ่าดงฉลามไปยังเกาะนกนางนวล และเลือกหยิบไข่นกนางนวลและต้องว่ายกลับมาน้ำไข่ให้ผู้นำของพวกเขา ก็เป็นการชนะการแข่งขันอันสุดหฤโหดเลยทีเดียวนะเนี้ย เมื่อเผ่าพวกเขาชนะ หัวหน้าเผ่าจะเป็นผู้นำใช้สิทธิขาด อำนาจในการปกครองเกาะไปอีก 1 ปี ถึงจะมีการคัดเลือกผู้นำเกาะขึ้นมาใหม่
เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก
โมอายได้ถูกรับเลือกเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยมีเหตุผลดังนี้
1. เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด 
2. เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว 
3. เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตามกาลเวลา



เเหล่งอ้างอิง http://www.tumnandd.com/%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95/

สโตนเฮนจ์

สโตนเฮนจ์

สโตนเฮนจ์: วิหารแห่งจักรวาลหรือไร? แนวหินวงกลมดึกดำบรรพ์ขนาดมหึมาแห่งสโตนเฮนจ์ยืนยงผ่านความลึกลับ
ทางศาสนาแลศิลปวิทยาการมาสมัยแล้วสมัยเล่า
สโตนเฮนจ์เป็นปริศนานิรันดร์กาลของคนในโลกปัจจุบัน
เป็นความมหัศจรรย์แห่งสถาปัตยกรรม
เป็นจินตนาการของมนุษย์ชาติที่น่ายกย่องสรรเสริญ
แต่จริง ๆ แล้วสโตนเฮนจ์คืออะไร สุสานศักดิ์สิทธิ์
หรือหอดูดาวของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์? สโตนเฮนจ์ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางที่ราบซอลส์เบอรีในมณฑลวิลด์เซอร์นั้น
เป็นปริศนาเก่าแก่คู่พื้นพิภพ วิหารแห่งซอลส์เบอรีอันงดงามซึ่งอยู่ห่างออกไป 13 กม. และมีอายุถึงเจ็ดศตวรรษกลายเป็นโบราณสถานที่มีอายุอ่อนเยาว์เมื่อเทียบกับ
ความเก่าแก่ของแนวหินอันใหญ่โตโอฬารนี้ แท่งหินขนาดมหึมาตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกันหลายวงนี้เป็นสิ่งก่อสร้างซึ่ง
ได้รักบการดัดแปลงไปในแต่ละยุคสมัยภายในช่วงเวลานับพันปี การก่อสร้างสโตนเฮนจจ์นั้นทำสืบเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี จากยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้นแต่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 1,800-1,400 ปีก่อนคริสต์กาล ซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงเงาของอีตาลอันรุ่นโรจน์ แนวหินกว่าครึ่งได้หักลงบ้าง หายไปบ้าง บางส่วนก็ทับถมกันอยู่ใต้ดิน การก่อสร้างเริ่มขึ้นในราว 2,8000 ปีก่อนคริสต์กาล (ผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็ว่าเมื่อ 3,800 ปี) โดยเริ่มจากการขุดร่องวงกลมขนาดใหญ่ 56 หลุมเรียงเป็นวงกลมภายในวงดินนั้น หลุมเหล่านี้เรียกกันว่า หลุมออบรีย์ ตามชื่อจอห์น ออบรีย์ผู้ค้นพบในคริสต์ศตวรรษ 17 ปัจุบันหลุมดังกล่าวลาดทับด้วยปูบซีเมนต์ แต่หินแท่งแรกซึ่งเรียกกันว่าหินฮีล (Heel Stone) ที่ประจำอยู่ปากทางเข้าวงดินยังคงตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม หลุมซึ่งขุดเรียงกันเป็นวงกลมอีกสองวงถัดเข้าไปเรียกกันว่าหลุม Y และหลุม Z วงหลุมทั้งสองนี้คั่นอยู่ระหว่างวงหลุมออบรีย์ที่เป็นวงนอกและวงแท่งหินขนาดมหึมาตรงใจกลางวงดินสันนิษฐานว่าวงหลุม Y และ Z อาจมีความสำคัญในเชิงดาราศาสตร์ ในราว 2,100 ปีก่อนคริสต์กาล มีการนำหินสีน้ำเงิน (bluestone) 80 ก้อนจากแคว้นเวลส์มาเรียงเป็นวงกลมสองวงซ้อนกันแต่ต่อมามีการนำแท่งหินทรายขนาดใหญ่ 30 แท่ง ที่เรียว่าหินซาร์เซน(sarsen) มาเรียงเป็นวงกลมวงเดียวแทนที่วงหินสี่น้ำเงิน
สองวงวงเดิมภายในวงหินทรายมีหมู่ หินเรียงเป็นรูปกึ่ง ๆ รูปเกือกม้าอีกสองหมู่หมู่ที่อยู่ด้านนอกประกอบด้วยหินทรายก่อเป็นรูปไตรลิธอนห้ากลุ่ม(Trilithon คือกลุ่มหินที่ประกอบด้วยหินสามแท่ง สองแท่งตั้งขึ้นคู่กันและแท่งที่สามวางพาดเป็นคานในแนวนอน) ส่วนเกือกม้าด้านในประกอบด้วยหินสีน้ำเงินขัดแต่ง 19 แท่ง สถาปัตยกรรมนี้เป็นความสำเร็จอันน่าทึ่ง เมื่อคิดดูว่าเครื่องมือขุดดินที่ผู้สร้างในยุคหินใหม่ใช้เป็นเพียงเสียมที่ทำจากเขากวางแดงเท่านั้น ชาวแซกซันเป็นผู้ขนาดนามวงหินเหล่านี้ว่า สโตนเฮนจ์ซึ่งเแปลตรงตัวว่า "หินที่แขวนอยู่" (Hanging Stone) ส่วนบันทึกจากสมัยกลางตั้งชื่อวงหินนี้อย่างไพเราะว่า กลุ่มยักษ์เริงระบำ (The Giants Dance) แม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่าสโตนเฮนจ์เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร มีการเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ นานา เช่น อินิโก โจนส์ สถาปนิกในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เชื่อว่าสโตนเฮนจ์เป็นซากปรักหักพังของวิหารโรมัน แต่คนในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 ยืนยันว่าเป็นวิหารซึ่งพวกลัทธิดรูอิดใช้ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์และบูชายัญมนุษย์ ความคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เราะสโตนเฮนจ์นั้นสร้างเสร็จอย่างน้อย 1,000 ปีก่อนลัทธิดังกล่าวจะเฟื่องฟู กระทั่งเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เองที่เราเริ่มได้ข้เท็จจริงบ้าง นักโบราณคดี สามารถคำนวณหาอายุ และสรุปเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการก่อสร้างสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น แต่ข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงก็ยังนับว่าน้อยอยู่มาก หินซาร์เซนที่เรียงเป็นวงด้านนอกแต่ละก้อนสูง 5 ม และหนักประมาณ26 ตัน หินเหล่านี้ชักลากมาจากทุ่งโล่งมาร์ลโบโร ดาวน์ส (Marlborough Downs)ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 32 กม. แล้วนำมาขัดแต่งและประดิษฐ์ให้มีสลักและเดือยอย่างดี ทำหใแท่งหินคู่ที่ตั้งและคานหินที่ใช้พาดเกาะเกี่ยวกันอย่างมั่นคง ส่วนหินสีน้ำเงินก้อนใหญ่ที่สุดซึ่งหนักถึงสี่ตันนำมาจากภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์นั้น สันนิษฐานว่าใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก นักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่า สโตนเฮนจ์เป็นสถานที่ประกอบพิธีฝั่งศพ โดยพิจารณาจากหลักฐานว่านอกเหนือจากสโตนเฮนจ์แล้ว มีการสร้างสุสานมูนดินในหลุม
ออบรีย์หลายหลุม แต่ก็มีหลักฐานหักล้างว่าหลุมดังกล่าวขุดขึ้นนานก่อนที่จะมีการเผาศพในบริเวณนี้ บ้างก็สันนิษฐานว่าหลุมออบรีย์อาจใช้เป็นส่วนหนึ่งใน พิธีไหว้ด้วยสุรา เช่น ชาวนาอาจเทเหล้าองุ่นลงในหลุมเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าเปห่งธรรมชาติทั้งหลาย และวงหินสโตนเฮนจ์ก็อาจจะเป็นวิหารสำหรับทำพิธีบวงสรวงดังกล่าว ไม่นานมานี้ มีนักดาราศาสตร์อ้างว่าสามรถถอดรหัสแนวหินได้เขาเสนอว่าสโตนเฮนจจ์ คือ เครื่องคำนวญยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้องต่าง ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทฤษฏีทั้งหลายในปัจจจุบันจะมีตัวเลขและสถิติสนับเสนุนว่าเป็นจริง แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดใดไขปริศนาลึกลับแห่งออีตของสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมบูรณ์ 


เเหล่งอ้างอิง  http://www.publichot.com/forums/showthread.php?t=11999

มาชูปิกชู


มาชู ปิกชู (Machu Picchu)

          มาชูปิกชู หรือนิยมเรียกอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา  กล่าวกันว่าชื่อ  มาชูปิกชู  นี้ถูกตั้งให้กับโบราณสถานแห่งนี้โดยความเข้าใจผิด เมื่อ ไฮรัม บิงแฮม (ผู้ค้นพบ มาชู ปิกชู) ถามชนพื้นเมืองถึงชื่อของมัน ชนพื้นเมืองเข้าใจผิดว่าเขาถามถึงชื่อของภูเขาจึงตอบว่า "มาชูปิกชู" (แปลว่า"ยอดเขาผู้ชรา") ซึ่งได้กลายมาเป็นชื่อของโบราณสถานดังกล่าวมาจนทุกวันนี้

                              
 
          นครกลางฟ้าแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาแอนเดส ประเทศเปรู กินเนื้อที่ประมาณ13 ตารางกิโลเมตรของหุบเขาอุรุบัมบ้า ที่ความสูง 6,750 ฟีตจากระดับน้ำทะเล เมื่อมองจากตีนเขาจะไม่สามารถมองเห็นมาชูปิกชูได้ และนี่ก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มาชูปิกชูไม่ถูกค้นพบเป็นเวลานานและยังคงสภาพอันสมบูรณ์เอาไว้ได้

          โบราณสถานถูกสร้างเป็นลักษณะขั้นบันไดไล่ลงมาตามความชันของหุบเขา แต่ละชั้นสูง 3 เมตร มีจำนวนทั้งหมด 40 ชั้นซึ่งถูกเชื่อมถึงกันด้วยบันไดกว่า 3,000 ขั้น และมีสิ่งก่อสร้างซึ่งสร้างด้วยหินกว่า 200 หลัง

                    
 
           24 กรกฎาคม 1911 ไฮรัม บิงแฮม ที่สาม ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล (และเป็นต้นแบบของ"อินเดียน่าโจนส์") ได้ค้นพบโบราณสถานดังกล่าวระหว่างการค้นหาโบราณสถานของอินคาในละแวกใกล้เคียง จนถึงปี 1915 บิงแฮมได้ทำการตรวจสอบมาชูปิกชู 3 ครั้งและเขียนผลการวิจัยหลายฉบับออกมา ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ  "The Lost City of the Incas"  ซึ่งกลายมาเป็นเบสต์เซลเลอร์ และได้รับการแนะนำในนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิค ในหนังสือของปี 1930 บิงแฮมได้นำเสนอสมมติฐานว่ามาชูปิกชูเคยถูกปกครองโดยนักบวชของลัทธิบูชาสุริยะและมีการทำพิธีถวายหญิงสาวเป็นเครื่องสังเวยแก่พระเจ้าของพวกเขา ทั้งที่นี่ยังเป็นป้อมปราการสุดท้ายของชาวอินคาที่ต่อสู้กับชาวสเปนอีกด้วยซึ่งสมมติฐานนี้ได้กลายมาเป็นอิมเมจของมาชูปิกชูอยู่เป็นเวลานานทีเดียว

          หลังจากที่บิงแฮมเกษียณจากมหาวิทยาลัย เขาได้ไต่เต้าขึ้นไปเป็นรองผู้ว่ารัฐคอนติเนคัท ผู้ว่าฯ และกลายเป็นวุฒิสมาชิกของสภาในที่สุด บิงแฮมส่งเสริมการค้นคว้าเกี่ยวกับมาชูปิกชูไว้มากมายซึ่งมีผลไปถึง 40 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิตทีเดียว และส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมการค้นคว้ามาชูปิกชูในปัจจุบันก็มาจากแรงบันดาลใจจากงานเขียนของเขาเช่นกัน (ในปัจจุบัน มีการอ้างว่ามีชาวเปรูชื่อแอกสติน ลีซาลาก้าได้ค้นพบมาชูปิกชูก่อนบิงแฮมถึง 9 ปี ปัจจุบัน ข้อเท็จจริงเรื่องนี้กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวน แต่เนื่องจากมีพยานยืนยันหลายคน จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความจริง)

          จะอย่างไรก็ดี สมมติฐานที่บิงแฮมทิ้งไว้ในฐานะผู้ค้นพบก็ทำให้การวิจัยในยุคหลังเป็นไปอย่างลำบากไม่น้อย ริชาร์ดL. เบอร์เกอร์และลูซี่ C. ซาลาซ่าร์จากมหาวิทยาลัยเยลได้ยืนยันว่า มาชูปิชูไม่น่าจะเป็นป้อมปราการของอินคาดังที่เข้าใจกัน เนื่องจากในบันทึกที่หลงเหลืออยู่ของสเปนกล่าวไว้ว่า" ปี 1572 ชาวอินคากลุ่มสุดท้ายขัดขืนเพียงเล็กน้อยก่อนจะยอมจำนนที่ที่ซ่อนกลางป่าดงดิบในที่ราบ" ในขณะที่มาชูปิกชูเป็นที่ราบสูง

                         
 
          มีการตั้งสมมติฐานว่ามาชูปิกชูน่าจะเป็นที่อาศัยของนักบวชเพื่อใช้ในการสังเกตุการโคจรของดวงอาทิตย์มากกว่า เนื่องจากมีหน้าต่างซึ่งดวงอาทิตย์จะโคจรมาอยู่ตรงกลางพอดีในวันสิ้นสุดฤดูร้อนและวันสิ้นสุดฤดูหนาว ส่วนแท่นบูชายัญที่บิงแฮมกล่าวไว้ น่าจะมีไว้เพื่อเป็นหอสังเกตุวงโคจรของดวงอาทิตย์เช่นกัน


          โบราณวัตถุที่บิงแฮมนำมาจากมาชูปิกชูถูกห่อไว้ด้วยหนังสือพิมพ์ของช่วงปี 1920 และเก็บรักษาไว้ในห้องเก็บเอกสารของมหาวิทยาลัยเยลเป็นเวลานาน การตรวจสอบพบว่าของส่วนใหญ่ถูกทำขึ้นในศตวรรษที่ 15 ส่วนของที่ถูกฝังในหลุมศพนั้นมีลักษณะเรียบง่าย จึงน่าจะเป็นของผู้รับใช้มากกว่าเชื้อพระวงศ์

          ซากศพที่พบในมาชูปิกชูมีจำนวนของชายหญิงพอๆกัน น่าจะมีการอาศัยเป็นครอบครัวซึ่งมีเด็กอยู่ด้วย ศพส่วนใหญ่พบร่องรอยของวัณโรคและโรคพยาธิ ฟันมีรอยผุเนื่องจากการทานข้าวโพดเป็นอาหารหลัก แต่ศพส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุและไม่พบร่องรอยการตายที่น่าจะเกิดจากสงครามนัก สันนิษฐานได้ว่าศพของเชื้อพระวงศ์น่าจะถูกนำไปทำพิธีที่คุสโก้จึงไม่พบอยู่ที่นี่

          มีบางศพที่เห็นได้ชัดว่ามาจากแถบอารยธรรมอื่นเช่นจากบริเวณทะเลสาปติติกากา คาดว่าน่าจะเป็นศพของช่างฝีมือที่ถูกเรียกมาเพื่อการก่อกำแพงหินซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างปราณีต กำแพงเหล่านี้สร้างขึ้นจากหินที่ถูกตัดไว้อย่างลวกๆแล้วใช้เครื่องมือที่ทำจากหินเช่นกันค่อยๆเซาะตบแต่งให้เรียบร้อยอีกที ในภายหลังมีการค้นพบเส้นทางการลำเลียงหินและแหล่งที่มาของหินเหล่านี้ซึ่งมีการพบเครื่องมือตัดหินที่ทำจากหินซึ่งมีความแข็งเป็นพิเศษอยู่ด้วย

          เมื่อเร็วๆนี้ มีการพบรอยไหม้ในชั้นใต้ดินของสิ่งก่อสร้าง จึงมีการคาดเดาว่าน่าจะเกิดจากชาวเมืองซึ่งเกรงว่าสเปนจะบุกมาจึงได้เผามาชูปิกชูเสียก็เป็นได้

                         
 
          มีสมมติฐานกล่าวว่า มาชูปิกชูอาจจะไม่ได้เป็นเมืองเลยก็ได้ ที่นี่น่าจะเป็นที่พักตากอากาศสำหรับเชื้อพระวงศ์ในหน้าแล้ง มาชูปิกชูประกอบด้วยราชวังซึ่งมีวิหารและคฤหาสน์ล้อมอยู่รอบๆซึ่งรวมไปถึงที่พักของผู้ทำงานในสถานที่นั้นๆด้วย คาดว่าในหน้าฝนหรือช่วงที่ไม่มีเชื้อพระวงศ์มาพัก ที่นี่น่าจะมีผู้อาศัยอยู่ไม่เกิน 750 คน เมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าพาชาคูตี้ในช่วงปี 1440 และน่าจะมีผู้อาศัยอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งถูกชาวสเปนมายึดดินแดนในอีก 80 ปีให้หลัง

          อีกสมมติฐานกล่าวว่า มาชูปิกชูน่าจะเป็นเมืองที่เกี่ยวข้องกับพิธีทางศาสนา เห็นได้จากตำแหน่งของเมืองที่เหมาะกับการสังเกตุวงโคจรดวงอาทิตย์ และหน้าต่างดวงอาทิตย์ซึ่งกล่าวไว้ในข้างต้น

          นอกจากนี้ ชาวอินคามักจะยกพระอาทิตย์และพระจันทร์เป็นของคู่กัน ซึ่งมีการพบสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์และพระจันทร์ในโบราณสถานอื่นๆเป็นจำนวนมาก และสำหรับมาชูปิชูซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์นี้ ก็มีถ้ำในไวนาปิกชู (แปลว่า"ยอดเขาผู้เยาว์วัย") ที่อยู่เบื้องหลังมาชูปิกชูอีกที ซึ่งถูกสร้างไว้เป็นวิหารของดวงจันทร์

          ปี 1983 มาชูปิกชูได้รับการประกาศจากยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลก พร้อมกับคุสโก้ และกลายมาเป็นสถานท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเปรู ในปีหนึ่งๆ มีนักท่องเที่ยวกว่าห้าแสนคนเดินทางไปชมนครลอยฟ้า และเช่นเดียวกับมรดกโลกอื่นๆอีกหลายแห่ง มาชูปิกชูประสบกับปัญหาความทรุดโทรมอันเกิดจากฝีมือมนุษย์จนในที่สุด รัฐบาลเปรูได้ประกาศจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปยังมาชูปิกชูเหลือเพียง 500 คนต่อวัน และทุกปีจะต้องมีการปิดมาชูปิกชูเป็นเวลา เดือนเพื่อทำการฟื้นฟูมรดกโลกแห่งนี้